วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ธรรมะที่ได้จากน้ำท่วม


สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของประเทศไทยในรอบหลายสิบปี ในบางพื้นที่ไม่เคยมีน้ำท่วมมาก่อนเลย แต่มาปีนี้น้ำกับท่วม เขตเศรษฐกิจเช่นในเขตเทศบาล ในเขตเมือง เจ้าหน้าที่พยายามที่จะป้องกันเต็มที่ สร้างพนังกันน้ำปกป้องพื้นที่  แต่ก็ไม่สามารถจะป้องกันได้ เมื่อพนังกั้นน้ำที่ทำไว้เกิดพังขึ้นมา จึงทำให้น้ำท่วมในพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนที่มั่นใจว่าพนังนั้นคงป้องกันน้ำไว้ได้ก็ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้ เมื่อน้ำจำนวนมากทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเก็บข้าวของได้ทันข้าวของจำนวนมากต้องเสียหายไปกับน้ำ

         สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่จึงเห็นภาพข่าวที่ชาวบ้านออกมาร้องห่มร้องไห้ และทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องเปิดพนังปิดพนัง นับเป็นภาพที่ทั้งน่าสงสารทั้งหน้าสมเพชเวทนา

         อีกกรณีหนึ่งคือความห่วงสมบัติไม่ยอมที่จะอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย โดยเฉพาะคนแก่ ๆ อายุ 70-80 ปี ไม่ยอมย้ายออกไปจากบ้านทั้ง ๆ ที่น้ำท่วมบ้านจนแทบไม่มีที่จะนั่งที่นอนอยู่แล้ว เหตุผลที่ท่านเหล่านั้นอ้างคือ “ห่วงสมบัติ” ถ้าจะตีความก็คือกลัวจะมีขโมยมาลักข้าวของ ถ้ามองอย่าผิดเผินก็อาจคิดว่าดี ท่านยังอุตสาห์ห่วงสมบัติ อยู่ดูแลสมบัติให้ลูกหลานอพยพออกไปอยู่ข้างนอก ยอมเสียสละตัวเองเพราะเห็นว่าแก่แล้วอยู่ไปอีกไม่นานก็ตาย แต่เอาเข้าจริง ๆ ขโมยมันจะเข้าไปลัก วัยขนาดนั้นจะป้องกันอะไรได้ ขโมยมันเอามือผลักเบา ๆ ก็ตกน้ำตายแล้ว

         ด้วยมุมมองของโลก ๆ ดูดีมีเหตุผลที่ประกอบด้วยความเสียสละอย่างน่าสรรเสริญ แต่ในมุมมองของธรรมะแล้วถือว่าผิดหลัก คนที่ยิ่งรู้ว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว สิ่งที่ต้องระลึกคือจะตายอย่างไรให้เป็นการตายดี ตายแล้วไปสู่สุขคติ (มนุษย์ เทวดา พรหม) ไม่ใช้ตายแล้วต้องไปอยู่ในทุกขคติ(นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน) ซึ่งคนแก่มีอายุมากแล้วทุกคนก็รู้ตัวว่าอีกไม่นานคงต้องตายจากโลกนี้ไป แต่คนแก่จำนวนมากยังไม่รู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้ตายดี

         ในทางพุทธศาสนาได้แสดงสภาวะก่อนตายของคนไว้ 2 ประการ คือ

1.กรรมนิมิตอารมณ์ คือการระลึกถึงกรรมที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี (กุศลกรรม) กรรมชั่ว (อกุศลกรรม) เมื่อใกล้ตายคน ๆ นั้นถ้าระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนเองไว้ เช่น ได้ตักบาตร  ได้ทำบุญทอดกฐิน ให้ทานแก่ผู้ยากไร้ บริจาคในการกุศลต่าง ๆ เช่นได้บริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ได้รักษาศีลหรือเจริญสมาธิภาวนา ก็จะไปเกิดในสุขคติ ถ้าระลึกถึงอกุศลกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ปล้นจี้หรือทุจริตคอรัปชั่น ผิดเมียผิดผัวชาวบ้าน ดื่มเหล้า เสพยาเสพติด ก็จะไปเกิดในทุกขคติ

แต่โดยสภาวะจิตก่อนตายนั้นไม่สามารถบังคับให้ระลึกถึงอะไรได้ ถ้าเป็นความดีก็จะต้องทำสิ่งเหล่านั้นเป็นประจำจนเป็นนิสัยก่อนตายจึงจะนึกได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ส่วนกรรมชั่วนั้นแม้ทำแค่นิดเดียวก็มักจะระลึกถึงก่อนเสมอไม่ว่าจะทำความดีมาแค่ไหนก็ตาม เช่น นางมัลลิกาผู้ถวายอสทิสทานเป็นต้น

2.คตินิมิตอารมณ์ คือนิมิตที่เกิดขึ้นในใจขณะจิตจะดับ คตินิมิตอารมณ์นี้คือผู้ตายนั้นจะมองเห็น เป็นเครื่องหมายแสดงถึงที่ ๆ ตนจะไปเกิด  อารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศลเช่นเห็นวิมาน เห็นปราสาทราชวัง เห็นนางเทพอัปสร วัดวาอาราม หรือพระภิกษุสามเณรหรือเห็นครรภ์มารดา ก็เป็นที่รู้ว่าตนนั้นจะไปเกิดในสุขคติ  ถ้าเห็นเหว เห็นถ้ำ เห็นเปลวไฟ เห็นปล่องที่น่ากลัว เห็นหมา เห็นแมว เห็นแร้งกาจะเข้ามาทำร้ายตน ก็จะไปเกิดในทุขคติ  

         ด้วยเหตุนี้เมื่อคนแก่ที่อายุมากแล้วอีกไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป เมื่อยังห่วงทรัพย์สมบัติ ห่วงลูกห่วงหลาน ด้วยอารมณ์เหล่านี้เมื่อถึงมีอันต้องตายจากโลกนี้ไป ก็จะทำให้อารมณ์ก่อนตายนั้นถูกชักจูงด้วยสภาวะจิต นั้น อารมณ์ที่เป็น “ห่วง” จัดเป็นอกุศลกรรมจะนำให้ผู้นั้นไปเกิดในทุกขคติ ซึ่งเป็นที่ไม่พึงปรารถนาของทุก ๆ คน

        จึงขอฝากความปรารถนาดี นำธรรมะมาเป็นข้อเตือนใจในช่วงน้ำท่วมใหญ่ซึ่งทำให้มีคนตายกว่า 200 ศพ เพื่อเป็นมรณสติแก่ทุก ๆ ท่าน

ขอเจริญพร : Ananda  : Oknation.net
คัดจาก...ทำดีดอทเน็ต



ไม่มีความคิดเห็น: